ข้าพเจ้าคิดว่าการปล่อยวางจากสิ่งที่ยึดติดมานานแล้วสำหรับบางคนเป็นเรื่องยากมาก
การปล่อยวางเป็นกระบวนการของการเรียนรู้อย่างหนึ่งซึ่งต้องอาศัยทั้งความตั้งใจและความตระหนักรู้
เราต้องเรียนรู้ที่จะถอยหลังมาและมองดูสิ่งที่เรายึดติดหรือกุมไว้ไม่ยอมปล่อย
การถอยหลังออกมาจากสิ่งเหล่านั้นจะช่วยให้เรามองอะไรๆ
ชัดเจนขึ้น
ถ้าเรายอมที่จะปล่อยวางสิ่งที่นำความเจ็บปวดมาให้จะช่วยให้การดำเนินชีวิตง่ายขึ้น
เราจะมีความสุขมากขึ้น
แต่แทนที่เราจะปล่อยวางสิ่งที่ทำให้เราเครียด
เจ็บปวด และทุกข์ทรมาน
เรากลับยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น
เรากอดมันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
มีคนกล่าวไว้อย่างนี้ว่า
“ถ้าเราปล่อยวางเพียงเล็กน้อย
เราก็จะมีสันติสุขเพียงเล็กน้อย
หากเราปล่อยวางมาก
เราจะมีสันติสุขมาก”
ข้าพเจ้าเห็นอย่างยิ่งด้วยกับคำกล่าวนี้
ท่านล่ะ
เห็นด้วยหรือไม่
ท่านล่ะ
พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
พร้อมที่จะปล่อยมือจากสิ่งที่กุมไว้หรือยัง
บางทีที่เราไม่ยอมปล่อยวางเพราะการยึดติดให้ความรู้สึกแห่งอัตลักษณ์
เราหวนนึกถึงความผิดพลาดในอดีตซ้ำแล้วซ้ำอีก
ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในห้วงอารมณ์ของความอับอายและความทุกข์ระทมใจและยอมให้ความรู้สึกนั้นเป็นตัวกำหนดการกระทำของเราในปัจจุบัน
หรือพูดง่ายๆ ว่า
ยอมให้อดีตกำหนดปัจจุบัน
เราปล่อยให้ตัวเองกังวลเกี่ยวกับอนาคต
เราทำให้ตัวเองเครียดและในที่สุดก็นำไปสู่ปัญหามากมายหลายด้าน
เรามักจะยึดสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตติดตัวอยู่ตลอดเวลา
ให้สิ่งเหล่านั้นมีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรา
เรายอมให้มันโลดแล่นอยู่ในหัวของเราเหมือนเปิดเทปดูซ้ำแล้วซ้ำอีก
เราจดจำสิ่งต่างๆ
ในอดีตทั้งที่ดีและไม่ดี
ยอมให้สิ่งเหล่านั้นมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตในปัจจุบัน
การยึดติดกับอดีตทำให้เราปิดกั้นตัวเองจากสิ่งใหม่ๆ
ที่เข้ามาในชีวิตของเรา
ไม่ยอมรับการท้าทายใหม่ๆ
แม้ว่าการยอมรับสิ่งใหม่จะนำเราไปสู่ชัยชนะที่รออยู่เบื้องหน้าก็ตาม
ในที่สุดเราก็ยอมที่จะเป็นผู้แพ้ตลอดกาล
ข้าพเจ้าอยากจะแบ่งปันเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง
บางทีท่านอาจเคยได้ยินมาบ้างแล้ว
แต่ฟังอีกสักครั้งคงไม่เป็นไร
เรื่องเล่าว่าในอินเดียมีชายคนหนึ่งมาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งเพื่อมาจับลิงเอาไปขายให้แก่สวนสัตว์
แต่ลิงฉลาดเกินกว่าที่จะตกเป็นเหยื่อ
มีเด็กชายคนหนึ่งยิ้มเยาะในความพยายามที่ล้มเหลวของชายคนนี้
ชายคนนั้นพูดกับเด็กคนนั้นว่า
“ถ้าเจ้าสามารถจับลิงให้สักตัว
ฉันจะให้เงินเจ้า”
(เงินที่เสนอให้ค่อนข้างสูงทีเดียว)
เด็กชายกลับบ้านและเอาหม้อดินคอคอดมาใบหนึ่ง
แล้วเอาถั่วใส่ลงไป 2-3
เม็ด
เอาหม้อผูกไว้กับต้นไม้และบอกชายคนนั้นว่า
“เราน่าจะจับลิงได้สักตัวในไม่ช้า
ให้เราไปรอในหมู่บ้านกันเถอะ
ลิงจะส่งเสียงบอกเราเองเมื่อมันติดกับที่เราวางไว้”
สักพักฝูงลิงก็พบหม้อดินที่มีถั่วอยู่ข้างใน
ลิงตัวหนึ่งล้วงมือลงไปหยิบถั่ว
แต่มันชักมือออกมาไม่ได้เพราะกำถั่วไว้
ลิงตกใจกลัวลนลานและเริ่มส่งเสียงร้องดังลั่น
ลิงตัวอื่นกรูกันเข้ามาช่วยแต่ก็ไม่อาจช่วยได้
เด็กชายและชายคนนั้นได้ยินเสียงลิงร้องจึงหยิบกระสอบมาเพื่อจับลิง
เมื่อเข้าใกล้ฝูงลิงก็วิ่งหนีกระเจิงไปทิ้งตัวที่ติดอยู่ไว้ตามลำพัง
เด็กชายก็เข้าไปจับลิงได้โดยง่ายดาย
ชายคนนั้นจึงถามเคล็ดลับจากเด็กชายว่า
“ทำไมลิงล้วงมือลงไปในหม้อได้อย่างง่ายดายแต่ดึงมือออกมาไม่ได้”
เด็กชายหัวเราะและบอกว่า
“ลิงดึงมือออกมาได้ไม่ยากหรอกถ้ามันยอมปล่อยถั่วที่กำไว้
แต่มันเสียดายถั่ว ไม่ยอมปล่อย
มันจึงดึงมือออกมาไม่ได้”
เราได้บทเรียนจากเรื่องเล่านี้
คนเรายอมตกเป็นเหยื่อด้วยการยึดติดกับสิ่งต่างๆ
ที่จริงๆ แล้วน่าจะปล่อยวางเสีย
อันที่จริงเรื่องนี้มุ่งเน้นสอนเรื่องความโลภ
แต่ยังมีมิติอื่นที่เรื่องนี้สอนเกี่ยวกับสิ่งที่เรากุมไว้ไม่ยอมปล่อยอีกด้วย
เช่น ความโกรธ ความเสียใจ
ความเคียดแค้น ความเกลียดชัง
ความอิจฉาริษยา ฯลฯ
ที่พันธนาการเราไว้
ที่เป็นเสมือนคุกในใจที่คุมขังเราไว้
เรายอมให้อดีตอยู่ต่อหน้าเรา
ไม่ยอมทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างที่พระคัมภีร์สอนไว้ว่า
“...ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย
และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า”
การปล่อยวางจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
มันเป็นเรื่องง่าย แต่ทำยาก
แต่สำหรับเราซึ่งเป็นผู้เชื่อไม่ใช่แค่ปล่อยวางเท่านั้น
แต่เราต้องยอมให้พระเจ้าเข้ามาในชีวิตของเราด้วย
สิธยา
คูหาเสน่ห์