มิตรภาพแบบคริสเตียนเป็นอย่างไร
ซี.
เอส.
ลูอิส
กล่าวไว้อย่างนี้ว่า
“มิตรคือผู้ที่เดินทางไปในทิศทางเดียวกัน
มีแรงบันดาลใจและเป้าประสงค์ที่คล้ายกัน
และเกื้อหนุนกันเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้
มิตรมิใช่ผู้ที่ดึงเราให้ตกต่ำลง
มิใช่ผู้ที่อิจฉาริษยา
(แม้ว่าบางครั้งก็เป็นเช่นนั้น)
แต่มิตรคือผู้ที่ช่วยเราในการใช้ของประทานจากพระเจ้าด้วยการให้คำแนะนำที่ผ่านการไตร่ตรองมาแล้วอย่างดี
และช่วยนำเราให้เดินไปในทางที่ถูกต้อง”
มิตรภาพแบบคริสเตียนมีการสอน
การให้คำปรึกษา การให้คำชี้แนะ
เป็นมิตรภาพที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทำพันธกิจที่คล้ายกับพระราชกิจที่พระเยซูทรงกระทำต่อพวกสาวกของพระองค์
มิตรแท้มีการห่วงใยและอาทรกันและกัน
และมีความปรารถนาที่จะเห็นการพัฒนา
ไม่ใช่การอิจฉาริษยา
และการทำลายความฝันและความปรารถนาของบุคคลอื่น
มิตรแท้ ทำ
มิใช่
พูด
มิตรแท้ไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน
หากจะติก็เพื่อก่อ
และการยอมรับคำติก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก
มิตรภาพแบบคริสเตียนแท้เกิดขึ้นกับผู้ที่เราเชื่อใจได้
ผู้ที่เราแน่ใจว่าจะไม่เอาเรื่องส่วนตัวของเราไปเผยแพร่
แต่น่าเศร้าใจที่คนมักชอบนินทา
ดังนั้นให้แน่ใจว่าผู้ที่เราแบ่งปันเรื่องราวส่วนตัวด้วยเป็นผู้ที่เชื่อใจได้จริงๆ
ความเชื่อใจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก
หากความเชื่อใจนั้นถูกทำลายลงก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะให้มิตรภาพกลับมาดีดังเดิม
ในพระธรรม 1
ซามูเอล
บทที่ 20
พูดถึงมิตรภาพแบบนี้ระหว่างดาวิดกับโยนาธานเอาไว้
มิตรภาพแท้ยังเกี่ยวข้องกับเวลาในสองมิติ
มิติที่หนึ่งคือการใช้เวลาในการสร้างมิตรภาพนั้นขึ้นมา
เราคงยอมรับว่าความเชื่อใจมิได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน
มันต้องใช้เวลาในการเพาะเลี้ยงให้รากแห่งความเชื่อใจหยั่งลึกลงเพื่อให้มิตรภาพนั้นแข็งแรงสามารถต้านทานต่ออุปสรรคและพายุที่โหมกระหน่ำเข้ามาในชีวิตและเกื้อหนุนการดำเนินไปบนเส้นทางแห่งความเชื่อด้วยกัน
มิติที่สองก็คือการให้เวลาแก่กันและกันในการหนุนน้ำใจกัน
ฟังปัญหาของกันและกัน
อธิษฐานและศึกษาพระคำด้วยกัน
มิตรภาพจะเป็นปึกแผ่นมั่นคงได้ก็ด้วยการติดสนิทกันอย่างแท้จริง
สุดท้ายที่สำคัญที่สุดและเป็นเรื่องยากมากที่สุดก็คือมิตรภาพแท้ต้องมีการให้อภัยไม่ถือโทษกัน
บางครั้งมิตรที่ดีที่สุดอาจสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้แก่เรา
และเราก็สงสัยว่ามิตรภาพเกิดขึ้นได้อย่างไรตั้งแต่แรก
ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เราเรียกว่ามิตรแท้จะเป็นคนที่นำความเจ็บปวดมาให้เรามากที่สุด
แต่ในมิตรภาพแท้ย่อมต้องมีการให้อภัยกันอย่างแท้จริง
เราต้องมองข้ามความผิดไปให้ได้
และไม่ต้องคาดหวังการตอบแทนเมื่อทำดี
และนอกจากนั้นต้องพูดความจริง
การโกหกหรือพูดความจริงไม่หมดย่อมทำลายมิตรภาพและความสัมพันธ์
(ทุกรูปแบบ)
ลงได้
มิตรภาพแท้แบบคริสเตียนย่อมเสริมสร้างกันและกันด้านอารมณ์
ด้านจิตวิญญาณ และด้านกายภาพ
เราจะได้รับพลังจากมิตภาพแท้
มิตรแท้ย่อมรักกันอย่างจริงใจ
คุยกันด้วยความจริง
และร้องไห้ด้วยกันยามทุกข์
หัวเราะด้วยกันยามสุข
ฟังปัญหาของกันและกันอย่างใส่ใจและหาทางบรรเทาทุกข์ให้กัน
บางครั้งมิตรแท้ต้องพูดในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่อยากได้ยินเพื่อเตือนสติ
แต่ในมิตรภาพแท้ย่อมมีหนทางให้คำพูดที่เตือนสติเป็นที่ยอมรับได้
อย่างที่ในพระธรรมสุภาษิตกล่าวไว้ว่า
“เหล็กลับเหล็กให้แหลมคมได้
คนหนึ่งคนใดก็ลับหน้าตาของเพื่อนให้หลักแหลมขึ้นได้ฉันนั้น”
และให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อไปด้วยกันและเป็นเหมือนองค์พระเยซูคริสต์มากขึ้น
ข้าพเจ้าเชื่อว่าผู้เชื่อทุกคนสามารถเป็นมิตรแท้ของกันและกันได้
แม้ยากแต่ก็ทำได้
สิธยา
คูหาเสน่ห์