ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเราก็ตาม ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายหรือสิ้นหวังเพียงใดก็ตาม พระเจ้าทรงมอบสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์ให้แก่เราที่จะเลือกวางชีวิตของเราไว้กับพระองค์เพื่อให้พระองค์สามารถทำงานผ่านชีวิตของเราให้เกิดผลได้
พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของเรา และเราต้องเพ่งมองดูพระองค์เสมอ “เพราะพระเจ้าทรงเรียกพวกท่านเพื่อจุดประสงค์นี้ เพราะว่าพระคริสต์ทรงทนทุกข์เพื่อพวกท่าน พระองค์ทรงวางแบบอย่างแก่พวกท่าน เพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์” ... “เมื่อเขากล่าวคำหยาบคายต่อพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวตอบเขาด้วยคำหยาบคายเลย เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ พระองค์ไม่ได้ทรงขู่อาฆาต แต่ทรงมอบพระองค์เองไว้แก่พระเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม”
แต่น่าเศร้าที่พวกเรามักจะตัดสินใจผิดพลาดไม่ยอมให้พระเจ้าทรงสำแดงพระประสงค์และชีวิตของพระองค์ผ่านชีวิตของเรา ด้วยเหตุนี้ “เรา” จึงเป็นคนทำให้การดำเนินชีวิตคริสเตียนในฐานะผู้เชื่อยากลำบาก มิใช่พระเจ้า
“เพราะประตูที่แคบและทางที่ลำบากนั้นนำไปสู่ชีวิต และพวกที่หาพบก็มีน้อย” มัทธิว 7:14
หากเรายอมมอบชีวิตของเราไว้กับพระเจ้าแล้ว การดำเนินชีวิตของเราแม้มีอุปสรรคบ้างก็ไม่น่ายากลำบากมากนัก แล้วเราจะเห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ดังเรื่องราวที่ข้าพเจ้าจะขอแบ่งปันกับท่านจากคำพยานที่อ่านพบมาจากสังคมคริสเตียนออนไลน์
สตรีคนหนึ่งต้องเดินทางไปทำธุรกิจต่างเมืองจากเมืองดูแรงโกในรัฐโคโลราโดซึ่งอยู่ห่างไปอย่างน้อย 40 ไมล์ (64.36 กม.) ส่วนนี้ของรัฐโคโลราโดสวยงามมาก แต่ค่อนข้างจะมีผู้คนอาศัยอยู่น้อย และระหว่างสองเมืองนี้ก็
เป็นที่ว่างเปล่าทั้งหมด
สตรีคนนี้ได้รับเทปเกี่ยวกับความรักแบบบิดาของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ เธอก็ฟังไปบ้างแล้ว แต่คิดว่าการขับรถทางไกลแบบนี้น่าจะเป็นโอกาสเหมาะที่จะฟังให้จบ และเธอก็ตั้งอกตั้งใจฟังเมื่อพูดถึงการตัดสินใจเชื่อวางใจเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากและไม่ได้สังเกตว่าน้ำมันจวนจะหมดแล้ว และก็ขับรถผ่านปั๊มน้ำมันสุดท้ายที่มีอยู่มาแล้ว และกว่าจะพบปั๊มอีกครั้งก็จะเป็นในเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางแล้ว ตอนนี้เธอขับมาได้ประมาณครึ่งทางแล้ว และน้ำมันก็หมดถังและไม่สามารถไปต่อได้อีก เธอจึงหลบเข้าข้างทางด้วยความตื่นตระหนกและสิ้นหวัง
เนื่องจากเธอจะเดินทางไปทำธุรกิจจึงแต่งตัวอย่างเป็นทางการและคงไม่เอื้อให้เธอเดินไปไหนได้ไกลนัก แต่หากเธอฮึดสู้เดินจนได้ก็ไม่มีใครอยู่แถวนั้นให้ขอความช่วยเหลือได้ รถที่พอจะมีสัญจรไปมาบ้างก็ไม่น่าจะอยู่ในข่ายที่ขอความช่วยเหลือได้เพราะคนขับเป็นชายหน้าตาดุดันไว้หนวดเครารกรุงรังและมีปืนวางไว้ข้างตัว
ในขณะที่นั่งตรึกตรองว่าจะทำอย่างไรดี พระเจ้าทรงเร้าในใจของเธอถึงสิ่งที่เธอเพิ่งฟังมาเกี่ยวกับการตัดสินใจด้วยความเชื่อวางใจในพระเจ้าไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะดูสิ้นหวังเพียงใดก็ตาม เธอจึงเข้าใจว่าแม้ในสถานการณ์นี้เธอยังมีโอกาสที่จะเลือกทางเดินได้ เธอเลือกที่จะนั่งรอความช่วยเหลืออยู่ตรงนั้นด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง (ซึ่งเธอกำลังสัมผัสอยู่) หรือเธอเลือกที่จะเชื่อวางใจพระเจ้าและมอบให้พระองค์ทรงนำเธอออกจากสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่
ในที่สุดเธอก็เลือกประการหลังโดยไม่ใช้ “ความรู้สึก” ส่วนตัว เธอเลือกตัดสินใจด้วยความเชื่อ เธอมอบความกลัวและความประหวั่นพรั่นพรึงของเธอไว้กับพระเจ้าและวางใจพระองค์ที่จะปกป้องเธอและนำเธอไปสู่จุดหมายปลายทาง
หลังจากที่เธออธิษฐานด้วยความเชื่อเต็มเปี่ยมแล้ว เธอก็ลองดูว่าเครื่องยนต์จะติดหรือไม่ ปรากฏว่าเครื่องติดและสามารถขับต่อไปได้ เธอจึงขับรถชิดขวาและค่อยๆ ขับไปตามทาง ยิ่งขับไปก็ยิ่งปลาบปลื้มใจ เธอดีใจที่ตัดสินใจแบบนั้นซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด พระเจ้าทรงสดับฟังคำอธิษฐานของเธอและพระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์ให้เธอเห็นตอนนั้นเลย
สตรีคนนั้นขับรถที่ไม่มีนำ้มันเหลืออยู่ในถังเลยเป็นระยะทางประมาณ 20 ไมล์ (ประมาณ 32 กม.) ไปยังเมืองจุดหมายปลายทาง เมื่อเธอต้องขับข้ามเนินเขา เธอก็แค่เร่งเครื่องด้วยความเชื่อวางใจ ในที่สุดเธอก็ถึงที่หมายและแวะเข้าไปที่ปั๊มน้ำมันแรกที่เจอ พนักงานแปลกใจที่เห็นสีหน้าปลาบปลื้มใจของเธอ และเป็นโอกาสที่เธอสามารถเป็นพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพนักงานคนนั้น เธอได้หว่านเมล็ดแห่งความเชื่อไว้ในชีวิตของพนักงานคนนั้นแล้ว ต่อจากนั้นก็ขึ้นกับพระเจ้าและการตัดสินใจของคนนั้นว่าจะทำอย่างไรกับเมล็ดแห่งความเชื่อนั้น
สตรีคนนี้ไปทันการนัดหมายสำคัญและได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความสัตย์ซื่อของพระเจ้า กี่คนท่ามกลางพวกเราที่ลืมไปว่าพระเจ้าทรงพร้อมที่จะช่วยเราจากสถานการณ์เลวร้ายในชีวิต
ท่านล่ะ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย ท่านจะตัดสินใจอย่างไร
สิธยา คูหาเสน่ห์