22/3/55

แผนงานล้ำเลิศของพระเจ้า

พระยาเวห์ตรัสว่า 'เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทำร้ายเจ้า เพื่อจะให้อนาคตและความหวังแก่เจ้า'”
เยเรมีย์ 29:11

พระเจ้าทรงมีแผนงานล้ำเลิศสำหรับผู้เชื่อทุกคน ทว่าบางคนอาจไม่ค่อยแน่ใจหรือไม่เชื่อเช่นนั้นก็เป็นได้ ลูกของพระเจ้าทุกคนต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงมีแผนงานสำหรับทุกคนตามพระสัญญาที่ตรัสไว้ในข้อพระวจนะข้างต้น และทุกคนต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเช่นนั้น ถ้าหากไม่เชื่อ ก็จะเป็นการเสี่ยงต่อการใช้ทั้งชีวิตเพื่อจะค้นหาว่าเราควรไปไหน เราควรทำอะไร และควรอยู่กับใคร พระเจ้าตรัสแก่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ว่า “เราได้รู้จัักเจ้าก่อนที่เราได้ก่อร่างตัวเจ้าขึ้นในครรภ์ และก่อนที่เจ้าคลอดจากครรภ์ เราก็ได้กำหนดตัวเจ้าไว้ เราได้แต่งตั้งเจ้าเป็นผู้เผยพระวจนะแก่บรรดาประชาชาติ” (เยเรมีย์ 1:5) การทรงเรียกของเราอาจไม่เหมือนกับการทรงเรียกของผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ แต่ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงมีแผนงานอย่างไรก็สำคัญไม่แพ้กัน และเราทุกคนก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำให้แผนงานนั้นสำเร็จ พระเจ้ามิได้ทรงเรียกให้เลียนแบบใครคนใดคนหนึ่ง แต่พระเจ้าทรงมุ่งหมายให้แต่ละคนเป็นอย่างที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ตั้งแต่แรกสร้างเราขึ้นมา เมื่อเรามอบให้พระเจ้าทรงเป็นผู้ขับเคลื่อนชีวิตของเรา ให้พระองค์ทรงครอบครองทั้งชีวิตของเรา พระองค์ก็จะทรงเปิดเผยแผนงานของพระองค์ทีละขั้นทีละตอน พระเจ้าอาจมิได้ทรงเผยให้เห็น “ภาพใหญ่” ทั้งหมดในทันทีเพราะบางทีเราอาจกลัว หรือมีท่าทีต่อพระเจ้าว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์พร้อมที่จะดำเนินชีวิตด้วยตัวเองแล้ว” แต่พระเจ้าทรงทราบว่าเรายังต้องการความช่วยเหลือของพระองค์อยู่เสมอ ดังนั้นพระองค์จึงทรงปลุกเร้าให้เราพึ่งพาพระองค์

ถ้าเช่นนั้น เพราะเหตุใดจึงมีผู้เชื่อจำนวนมากกลัวที่มอบตัวเองให้พระเจ้าทรงครอบครองเล่า บางทีอาจเป็นเพราะกลัวว่าพระองค์จะทรงเรียกร้องให้พวกเขาทำบางสิ่งที่ไม่อยากทำ หรือทำบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามที่คิดไว้เพื่อความสำเร็จในชีวิต จริงๆ แล้ว เราไม่มีวันประสบความสำเร็จหรือมีความสุขจริงๆ ได้เลยหากทำนอกเหนือแผนงานของพระเจ้าที่ทรงตั้งไว้ เช่น พระเจ้าทรงสร้างคนหนึ่งไว้ให้เป็นครู พระองค์ทรงจัดเตรียมตามความจำเป็นของคนนั้นได้ และทรงเติมเต็มชีวิตของคนนั้นด้วยจุดมุ่งหมายและความหมายแห่งชีวิตได้ในทุกด้านในฐานะครูคนหนึ่ง เพราะนั่นเป็นการทรงเรียกของพระเจ้าสำหรับคนนั้น แต่สมมุติว่าคนนั้นตัดสินใจว่าไม่อยากเป็นครูกลับอยากเป็นนักธุรกิจ จึงพยายามหาช่องทางที่จะเป็นนักธุรกิจชื่อดังให้ได้ แต่กลับพบว่าไม่เคยมีสันติสุข ความชื่นชมยินดี หรือความพึงพอใจจริงๆ ในชีวิตเลย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าไม่ได้เป็นอย่างที่พระเจ้าทรงมุ่งหมายไว้แต่แรก ในแต่ละวันรู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรบางอย่างไป แก่นแท้ของความจริงคือพระเจ้าทรงเรียกให้เป็นครู และพระองค์ทรงเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมที่จะให้เป็นครู และแม้ว่าจะรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต แต่ก็ยังปลอบใจตัวเองว่า “มันไม่มีอะไรผิดหรอก” ที่น่าเศร้าก็คือหลายคนเดินออกนอกกรอบแผนงานของพระเจ้าเพียงเพราะทำตามที่คนอื่นพูดหรือคิดเท่านั้น และก็สงสัยไม่หายว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ได้รับชีวิตที่เต็มบริบูรณ์

เอเฟซัส 2:10 กล่าวว่า “เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทำการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม” เมื่อพระเจ้าทรงสร้างคนๆ หนึ่ง พระองค์ทรงมอบทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการดำเนินตามแผนงานที่พระองค์ทรงกำหนดขึ้นมาให้พร้อม มีทั้งสติปัญญา ของประทาน และพระองค์ยังทรงพร้อมที่จะช่วยในการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ตลอดชีวิตด้วย ถ้าทูลถามว่ามีอะไรบ้าง พระองค์ก็จะทรงสำแดงให้รู้ ด้วยวิธีการของพระองค์อาจเป็นการนำให้ได้รับการอบรมหรือการศึกษาพิเศษบางอย่าง หรือพระองค์อาจทรงไม่ทำอะไรเลยก็ได้ กุญแจที่จะนำไปสู่ความสำเร็จตามแผนงานของพระเจ้าคือการแสวงหาพระองค์ในแต่ละวัน อย่ารอจนเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้แล้วจึงแสวงหาพระองค์ ถ้าไม่มีการแสวงหาในแต่ละวัน โอกาสเป็นไปได้มากที่จะได้รับบำเหน็จล่าช้า ฮีบรู 11:6 กล่าวว่า “แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้วจะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์” ถ้าดำรงชีวิตโดยการพึ่งพาพระสติปัญญา การทรงนำ และพระคุณของพระเจ้าในแต่ละวันแล้วล่ะก็ ท่านก็สามารถพึ่งพาพระองค์ในการนำท่านให้อยู่บนเส้นทางแห่งพระพรยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้ เพราะไม่มีทางอื่นอีกแล้ว นี่เป็นความจริงที่ต้องยึดถือ และรอวันที่จะเก็บเกี่ยวบำเหน็จที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ในคลังสำหรับท่าน

อย่ารอช้าอยู่เลย ให้รับรีบเร่งไปรับบำเหน็จของเรากันเถิด

*ข้อพระคัมภีร์จากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน

สิธยา คูหาเสน่ห์