เยเรมีย์
29:11
พระเจ้าทรงมีแผนงานล้ำเลิศสำหรับผู้เชื่อทุกคน
ทว่าบางคนอาจไม่ค่อยแน่ใจหรือไม่เชื่อเช่นนั้นก็เป็นได้
ลูกของพระเจ้าทุกคนต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงมีแผนงานสำหรับทุกคนตามพระสัญญาที่ตรัสไว้ในข้อพระวจนะข้างต้น
และทุกคนต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเช่นนั้น
ถ้าหากไม่เชื่อ
ก็จะเป็นการเสี่ยงต่อการใช้ทั้งชีวิตเพื่อจะค้นหาว่าเราควรไปไหน
เราควรทำอะไร และควรอยู่กับใคร
พระเจ้าตรัสแก่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ว่า
“เราได้รู้จัักเจ้าก่อนที่เราได้ก่อร่างตัวเจ้าขึ้นในครรภ์
และก่อนที่เจ้าคลอดจากครรภ์
เราก็ได้กำหนดตัวเจ้าไว้
เราได้แต่งตั้งเจ้าเป็นผู้เผยพระวจนะแก่บรรดาประชาชาติ”
(เยเรมีย์
1:5)
การทรงเรียกของเราอาจไม่เหมือนกับการทรงเรียกของผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์
แต่ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงมีแผนงานอย่างไรก็สำคัญไม่แพ้กัน
และเราทุกคนก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำให้แผนงานนั้นสำเร็จ
พระเจ้ามิได้ทรงเรียกให้เลียนแบบใครคนใดคนหนึ่ง
แต่พระเจ้าทรงมุ่งหมายให้แต่ละคนเป็นอย่างที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ตั้งแต่แรกสร้างเราขึ้นมา
เมื่อเรามอบให้พระเจ้าทรงเป็นผู้ขับเคลื่อนชีวิตของเรา
ให้พระองค์ทรงครอบครองทั้งชีวิตของเรา
พระองค์ก็จะทรงเปิดเผยแผนงานของพระองค์ทีละขั้นทีละตอน
พระเจ้าอาจมิได้ทรงเผยให้เห็น
“ภาพใหญ่” ทั้งหมดในทันทีเพราะบางทีเราอาจกลัว
หรือมีท่าทีต่อพระเจ้าว่า
“พระองค์เจ้าข้า
ข้าพระองค์พร้อมที่จะดำเนินชีวิตด้วยตัวเองแล้ว”
แต่พระเจ้าทรงทราบว่าเรายังต้องการความช่วยเหลือของพระองค์อยู่เสมอ
ดังนั้นพระองค์จึงทรงปลุกเร้าให้เราพึ่งพาพระองค์
ถ้าเช่นนั้น
เพราะเหตุใดจึงมีผู้เชื่อจำนวนมากกลัวที่มอบตัวเองให้พระเจ้าทรงครอบครองเล่า
บางทีอาจเป็นเพราะกลัวว่าพระองค์จะทรงเรียกร้องให้พวกเขาทำบางสิ่งที่ไม่อยากทำ
หรือทำบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามที่คิดไว้เพื่อความสำเร็จในชีวิต
จริงๆ แล้ว
เราไม่มีวันประสบความสำเร็จหรือมีความสุขจริงๆ
ได้เลยหากทำนอกเหนือแผนงานของพระเจ้าที่ทรงตั้งไว้
เช่น พระเจ้าทรงสร้างคนหนึ่งไว้ให้เป็นครู
พระองค์ทรงจัดเตรียมตามความจำเป็นของคนนั้นได้
และทรงเติมเต็มชีวิตของคนนั้นด้วยจุดมุ่งหมายและความหมายแห่งชีวิตได้ในทุกด้านในฐานะครูคนหนึ่ง
เพราะนั่นเป็นการทรงเรียกของพระเจ้าสำหรับคนนั้น
แต่สมมุติว่าคนนั้นตัดสินใจว่าไม่อยากเป็นครูกลับอยากเป็นนักธุรกิจ
จึงพยายามหาช่องทางที่จะเป็นนักธุรกิจชื่อดังให้ได้
แต่กลับพบว่าไม่เคยมีสันติสุข
ความชื่นชมยินดี หรือความพึงพอใจจริงๆ
ในชีวิตเลย
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าไม่ได้เป็นอย่างที่พระเจ้าทรงมุ่งหมายไว้แต่แรก
ในแต่ละวันรู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรบางอย่างไป
แก่นแท้ของความจริงคือพระเจ้าทรงเรียกให้เป็นครู
และพระองค์ทรงเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมที่จะให้เป็นครู
และแม้ว่าจะรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต
แต่ก็ยังปลอบใจตัวเองว่า
“มันไม่มีอะไรผิดหรอก”
ที่น่าเศร้าก็คือหลายคนเดินออกนอกกรอบแผนงานของพระเจ้าเพียงเพราะทำตามที่คนอื่นพูดหรือคิดเท่านั้น
และก็สงสัยไม่หายว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ได้รับชีวิตที่เต็มบริบูรณ์
เอเฟซัส
2:10
กล่าวว่า
“เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทำการดี
ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม”
เมื่อพระเจ้าทรงสร้างคนๆ
หนึ่ง
พระองค์ทรงมอบทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการดำเนินตามแผนงานที่พระองค์ทรงกำหนดขึ้นมาให้พร้อม
มีทั้งสติปัญญา ของประทาน
และพระองค์ยังทรงพร้อมที่จะช่วยในการพัฒนาทักษะใหม่ๆ
ตลอดชีวิตด้วย ถ้าทูลถามว่ามีอะไรบ้าง
พระองค์ก็จะทรงสำแดงให้รู้
ด้วยวิธีการของพระองค์อาจเป็นการนำให้ได้รับการอบรมหรือการศึกษาพิเศษบางอย่าง
หรือพระองค์อาจทรงไม่ทำอะไรเลยก็ได้
กุญแจที่จะนำไปสู่ความสำเร็จตามแผนงานของพระเจ้าคือการแสวงหาพระองค์ในแต่ละวัน
อย่ารอจนเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้แล้วจึงแสวงหาพระองค์
ถ้าไม่มีการแสวงหาในแต่ละวัน
โอกาสเป็นไปได้มากที่จะได้รับบำเหน็จล่าช้า
ฮีบรู 11:6
กล่าวว่า
“แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้วจะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย
เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น
ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่
และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์”
ถ้าดำรงชีวิตโดยการพึ่งพาพระสติปัญญา
การทรงนำ และพระคุณของพระเจ้าในแต่ละวันแล้วล่ะก็
ท่านก็สามารถพึ่งพาพระองค์ในการนำท่านให้อยู่บนเส้นทางแห่งพระพรยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้
เพราะไม่มีทางอื่นอีกแล้ว
นี่เป็นความจริงที่ต้องยึดถือ
และรอวันที่จะเก็บเกี่ยวบำเหน็จที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ในคลังสำหรับท่าน
อย่ารอช้าอยู่เลย
ให้รับรีบเร่งไปรับบำเหน็จของเรากันเถิด
*ข้อพระคัมภีร์จากพระคริสตธรรมคัมภีร์
ฉบับมาตรฐาน
สิธยา
คูหาเสน่ห์