เดือนกุมภาพันธุ์เวียนมาถึงอีกครั้งอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ ก็เป็นที่ยอมรับกันเป็นสากลว่าเดือนนี้เป็นเดือนแห่งความรัก ข้าพเจ้าก็อดสะท้อนใจไม่ได้ว่าทำไมนะคนเราจึงจำกัดเวลาที่จะบอกรักกันน้อย เหลือเกิน แต่ในทางกลับกันอยากให้พระเจ้ารักเรามากๆ กระแสโลกก็เป็นแบบนี้แหละ มนุษย์มักอยู่กับความขัดแย้งในหลายๆ ด้าน
ความรักมีพลังยิ่งใหญ่ ความรักเป็นการงานของพระเจ้าที่ทรงกระทำในชีวิตของเราอย่างไม่ต้องสงสัย ความรักเป็นหนึ่งในเก้าของผลของพระวิญญาณ (กาลาเทีย 5:22) แท้จริงเป็นผลแรกที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ทีเดียวไม่เฉพาะผู้เชื่อเท่านั้น ที่เชื่อในพลังแห่งรัก แม้แต่ผู้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าหรือผู้ที่ไม่สามารถเข้าใจเรื่องพระเจ้าได้ก็ ยังยอมรับว่าพลังยิ่งใหญ่ของความรักสามารถเปลี่ยนชีวิตได้หากถูกนำมาใช้ใน ทางที่ถูกที่ควร
ความรักมีผลกับคนทั้งโลก ด้วยพลังยิ่งใหญ่แห่งรักนี่แหละที่ทำให้มีชัยเหนือมนุษย์ ชนชาติ และศาสนา รักเป็นภาษาสากลที่ใช้สื่อสารกันได้ทั่วโลกอย่างแท้จริงและเป็นที่ยอมรับของ คนทุกระดับชั้น
ด้วยเหตุนี้ ในพระคัมภีร์จึงมีข้อพระวจนะที่เน้นว่าให้รักพระเจ้า ให้รักกันและกัน และให้รักตัวเอง บางคนอาจมีคำถามในใจว่าก็ในเมื่อรักมีพลังยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ทำไมจึงยังมีสงคราม ความเป็นปรปักษ์ อาชญากรรม และความโหดร้ายป่าเถื่อนให้เห็นกันเป็นประจำวันเล่า ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์จึงบอกเราว่าในยุคสุดท้ายความรักของคนจำนวนมากจะเยือก เย็นลงเพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป (มธ. 24:12 ฉบับมาตรฐาน 2002) ซึ่งบอกให้รู้ว่าสิ่งต่างๆ จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ
แต่ในฐานะคริสเตียน เราทั้งหลายรู้ว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความเลวทรามทั้งมวลก็คือการที่ มนุษย์ไม่สามารถรักกันในแบบที่พระเจ้าทรงปรารถนาให้เป็นไป เนื่องจากมนุษย์ได้จมปลักอยู่ในความบาปและด้วยธรรมชาติบาปของเราอันเป็นผล สืบเนื่องมาจากการกระทำของอาดัมและเอวาในสวนเอเดน ด้วยเหตุผลนี้เองที่พระบิดาทรงสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายแทนคนบาป ทั้งปวงเพื่อไถ่คนเหล่านั้นซึ่งเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้าให้กลับไปสู่พระ สิรินั้น
แม้แต่ความรักของผู้เชื่อเองก็มีอย่างกระพร่องกระแพร่งเต็มที วิธีที่จะให้ความรักเต็มล้นก็ทำได้ง่ายๆ แค่เรียนรู้ที่จะดึงความรักมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นเอง และวิธีที่จะเข้าถึงความรักอันบริบูรณ์ของพระวิญญาณก็คือความเต็มใจที่รับ การชำระให้บริสุทธิ์จากพระเจ้าด้วยการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้เป็นเหมือนพระเยซู คริสต์พระบุตรของพระองค์
มันไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ไม่มีทางลัดที่เราสามารถทำได้ด้วยตนเอง มันต้องเริ่มต้นเมื่อความรักของพระเจ้าเริ่มต้นหลั่งไหลเข้าไปสู่บุคลิก ลักษณะของเราและทำให้เราเริ่มรู้จักที่จะรักพระเจ้า รักตัวเอง และรักผู้อื่นมากพอถึงขนาดที่พระองค์ทรงมุ่งหมายอยากให้เกิดขึ้นในชีวิตของ เรา
ความรักจะเป็นความรักได้ก็ต่อเมื่อมีการแสดงออก พระคัมภีร์บอกเราว่า “ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง” (1 ยอห์น 3:18 ฉบับมาตรฐาน 2002) จุดมุ่งหมายของความรักใน 1 โครินธ์ 13 ไม่ใช่การวิเคราะห์เชิงเทคนิคของความรัก แต่เป็นการทำให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยขนาดพอคำที่ทำให้เราสามารถเข้าใจได้ และอาจนำไปประยุกต์ใช้ในเชิงปฏิบัติได้จริง
ถ้าเช่นนั้น ท่านล่ะ ใช้ความรักของท่านแบ่งปันให้แก่ผู้อื่นไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว มีการแสดงออกที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาหรือเปล่า จริงๆ แล้วเมื่อความรักถูกหยิบยื่นให้แก่ผู้อื่น ผู้ให้ก็จะได้รับกลับคืนมาเท่านั้นหรืออาจมากกว่าด้วยซ้ำไป เป็นสิ่งที่เมื่อทำแล้วมีแต่ได้และได้เท่านั้น ไม่มีการขาดทุน แล้วเราจะหวงความรักไว้ทำไมกันนะ ให้ไปเถอะ ให้เยอะๆ หยิบยื่นให้แก่กันและกันเถอะ แบ่งปันกันแบบใจกว้างๆ ให้เยอะๆ
ข้าพเจ้าหวังว่าเราทั้งหลายซึ่งเป็นผู้เชื่อจะมีความรักอย่างเหลือเฟือที่จะ แบ่งปันให้แก่กันทุกเมื่อเชื่อวัน
และบัดนี้ ทั้งสามสิ่งนี้ยังดำรงอยู่ คือความเชื่อ ความหวัง และความรัก แต่ความรักนั้นใหญ่ที่สุดในสามสิ่งนี้ (1 โครินธ์ 13:13 ฉบับมาตรฐาน 2002)
สิธยา คูหาเสน่ห์